วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

ผักออแกนิกส์

ออแกนิกส์ คืออะไร



คำว่า ออร์แกนิกส์

หากแปลตรงตัวจะหมายถึงสาขาวิชาเคมีที่ว่าด้วยเคมีอินทรีย์หรือการศึกษาที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
จากความหมาย ออร์แกนิค ก็คือผลิตภัณฑ์ที่ปลูกโดยวิธีเกษตรอินทรีย์
ซึ่งเป็นการปลูกโดยใช้วิธีควบคุมไม่ให้มีการปนเปื้อนของสารเคมีในทุกขั้นตอนการผลิต เช่น
การใช้ปุ๋ยที่ทำจากธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีใดๆในการปลูก นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิส์
ยังถูกควบคุมจนถึงขบวนการแปรรูปโดยให้มีการเจือปนของสารเคมีน้อยที่สุด

 มาตรฐานการรับรองผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกส์

การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกส์
จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการรับรองจากองค์กรที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลของแต่ละประเทศเท่านั้น
โดยมีตราประทับบนฉลากอย่างชัดเจนว่าได้รับรองจากประเทศใด หรือกลุ่มประเทศใด
หากไม่มีการรับรองผู้ผลิตไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่า ออร์แกนิคบนฉลากสินค้าเพื่อทำการโฆษณา

ขั้นตอนการตรวจสอบมาตรฐาน

การตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ออร์แกนิค อาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเภท
โดยขั้นตอนจะเริ่มตั้งแต่การตรวจสอบแหล่งเพาะปลูก วัตถุดิบ วิธีการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว
การบรรจุหีบห่อ การขนส่ง กระบวนการในการนำไปใช้หรือการแปรรูป
จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จออกมา

ออร์แกนิกส์ ดีและมีประโยชน์อย่างไร


1.ส่วนประกอบทุกอย่างมาจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก ผลิตภัณฑ์ หรืออาหารออร์แกนิค
ไม่มีการนำสารสังเคราะห์ใดๆมาใช้ในทุกขั้นตอน ทำให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและเกษตรกรผู้ผลิต
และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2.ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการผลิต ออร์แกนิคเกิดจากระบบนิเวศน์ที่สมดุล
ทุกขั้นตอนในการผลิตช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตทั้งระบบมีความสมบูรณ์
3.ออร์แกนิคมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนเรา
เพราะช่วยลดภาวะเสี่ยงต่อโรคร้ายที่มีสารเคมีเป็นสาเหตุหลัก
4.ออร์แกนิค เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารพิษ ไม่เป็นภัยต่อมนุษย์ สัตว์และสิ่งแวดล้อม
เป็นอีกวิธีหนึ่งในการช่วยอนุรักษ์ดิน น้ำ และสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ
5.ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่รักสุขภาพ
ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคมีหลากหลายประเภท ครอบคลุมตั้งแต่ของสด เครื่องปรุง ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
เครื่องสำอาง โดยหลักๆแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค100 %
และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค95 %
ซึ่งทั้งสองประเภทจะติดป้ายระบุรายละเอียดส่วนผสมและวิธีการผลิตไว้อย่างละเอียด
โดยมีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสากลติดกำกับไว้ด้วย

ผักออร์แกนิกส์



       

                       ผักออร์แกนิกหรือผักเกษตรอินทรีย์ถือเป็น อีกหนึ่งทางเลือกที่ดีต่อคนรักสุขภาพ เพราะผักออร์แกนิกนั้นมากด้วยคุณประโยชน์ คุ้มค่าสมราคา ปลูกขึ้นมาโดยไม่ผ่านการใส่ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือฮอร์โมนสังเคราะห์เข้ามาปนเปื้อน ซึ่งบ่อยครั้ง ยังเข้าใจกันผิดว่าผักออร์แกนิก ผักปลอดสาร ผักอนามัย และผักไฮโดรโปนิกส์ เป็นผักชนิดเดียวกัน มีวิธีการปลูกที่เหมือนกัน ขอแจงว่า ผักออร์แกนิกจะไม่ใช้สารเคมีใดๆ เลย เพียงแต่มีการดัดแปลงวิธีการปลูก เช่น ปุ๋ยในดิน การบำรุงดิน ความชื้น น้ำ อากาศ ฯลฯ เพื่อให้พืชเติบโตด้วยวิธีแบบธรรมชาติ 100% ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม และเน้นให้ผลผลิตต่างๆ ออกตามฤดูกาล ขณะที่ผักปลอดสารจะใช้สารเคมีระหว่างการปลูก แต่จะไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และเมื่อถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตจะเว้นการให้สารเคมี จึงจัดว่าเป็นผักที่ปลอดภัยจากสารเคมีที่ใช้ฆ่าแมลง ผักอนามัยก็ใช้วิธีปลูกที่คล้ายกับผักปลอดสาร เช่นกัน แต่ต่างกันที่ผักอนามัยมีการใช้สารเคมีป้องกันและปราบศัตรูพืช ส่วนผักไฮโดรโปนิกส์ เป็นผักที่ไร้ดิน ใช้วัสดุในการปลูก เช่น น้ำ ทราย กรวด ดินเผา เป็นต้น ซึ่งพืชจำเป็นต้องพึ่งพาเคมี ไม่ว่าจะทางน้ำหรือทางใบ ผลผลิตที่ได้อาจจะมีสารพิษตกค้างอยู่บ้าง แต่จะไม่เกินมาตรฐานที่กรมวิชาการเกษตรกำหนดเท่านั้นเอง

        cr. http://lux.co.th/th/blogs

ความสำคัญของผักออแกนิกส์

         


          ผักเป็นพืชที่ทุกคนต้องบริโภคเป็นประจำทุกวันไม่มากก็น้อยแตกต่างกันไป เนื่องจากผักประกอบไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์หลายอย่าง ได้แก่ วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก และแคลเซียมแป้งและน้ำตาลจะเป็นแหล่งพลังงานและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเซลลูโลสและไฟเบอร์ซึ่งช่วย ในระบบการย่อยอาหารและขับถ่ายของร่างกาย ช่วยให้เกิดพลังงานให้มีความต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ของร่างกาย และยังช่วยให้ร่างกายฟื้นหายจากโรคได้อย่างรวดเร็ว
          การได้บริโภคผักต่าง ๆ ที่ปลอดภัยจากสารพิษในปริมาณที่เหมาะสมเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี และแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากร่างกายขาดอาหารประเภทผักหรือได้รับ ไม่เพียงพอหรือบริโภคผักที่มีสารพิษตกค้างในปริมาณมากเข้าไปจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ทำงานได้ไม่ปกติ อาจเกิดอาการผิดปกติขึ้น ทำให้ความต้านทานโรคต่าง ๆ ของร่างกายลดลง เพราะฉะนั้นผักจึง เป็นพืชที่นิยมบริโภคกันทุกครัวเรือน โดยจะสังเกตได้จากอาหารเกือบทุกชนิดจะต้องมีผักเป็นส่วนประกอบในการ ชูรสอาหารจานโปรดให้มีรสชาติดีขึ้น หรือใช้ประดับจานอาหารให้สวยงามน่ารับประทานยิ่งขึ้น เนื่องจากค่านิยมในการบริโภคผักของประชาชนโดยทั่วไปมักจะเลือกบริโภคผักที่สวยงาม ไม่มีร่องรอยการ ทำลายของหนอนและแมลงศัตรูพืช จึงทำให้เกษตรกรที่ปลูกผักจะต้องใช้สวยงามตามความต้องการของผู้บริโภค เมื่อผู้ซื้อนำผักมาบริโภคอาจจะได้รับอันตรายจากสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผักนั้นได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหา ดังกล่าวเกษตรกรจึงควรหันมาปลูกผักปลอดสารพิษกันให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้คนไทยมี คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยมีผักที่สะอาดและปลอดสารพิษบริโภคในชีวิตประจำวัน หรือถ้ามีความจำเป็น ที่จะบริโภคผักควรจะเลือกผักที่มีความต้านทานโรคแมลงและเป็นผักที่ล้างง่าย

พื้่นที่ในการปลูกผักออแกนิกส์

การเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมในการปลูกพืชผักปลอดสารพิษ


                    



           เนื่องจากพื้นที่ปลูกและสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของต้นและคุณภาพของผลผลิตของผักปลอดภัยจากสารพิษเป็นอย่างมาก แม้ว่าผักจะสามารถปลูกได้ในพื้นที่ทั่วไปก็ตาม แต่จะให้ผลผลิตที่แตกต่างกันไปตามลักษณะพื้นที่ปลูกและสภาพแวดล้อม สำหรับการเลือกพื้นที่ปลูกให้เหมาะสมต่อการผลิตต่อการผลิตผักให้ปลอดสารพิษนั้นควรเป็นดังนี้
สภาพพื้นที่ พื้นที่ราบและมีความสม่ำเสมอมีความเหมาะสมในการปลูกผัก แต่ถ้าสภาพพื้นที่ที่มีความลาดเทเล็กน้อยจะเหมาะสมมากที่สุด เพราะจะช่วยให้ดินระบายน้ำได้ดีและสะดวกต่อการให้น้ำแบบตามร่องนอกจากนี้สภาพพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกผักต้องไม่เป็นแหล่งที่มีน้ำท่วมขัง มีการระบายน้ำได้ดี อยู่ใกล้แหล่งน้ำที่สะอาดและสะดวกต่อการนำน้ำมาใช้ มีการคมนาคมที่สะดวก ทำให้สามารถนำผลผลิตผักออกสู่ตลาดได้สะดวกและรวดเร็ว
ลักษณะดิน การเลือกพื้นที่เพื่อทำสวนผักให้ได้ผลนั้นควรพิจาณาดูว่าดินมีความอุดมสมบูรณ์มากน้อยเพียงใด เพราะการปลูกผักในดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารผักย่อมจะเจริญเติบโตดี สมบูรณ์ แข็งแรง ต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดี ให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกผักคือ ดินร่วน ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง มีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี ส่วนค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH)ของดินที่เหมาะสมในการปลูกผักคือมีระดับค่า pH อยู่ ระหว่าง 6.0-6.5 หรือเป็นกรด อ่อน ๆ
แหล่งน้ำ น้ำถือว่าเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญในการทำสวนผักเพราะน้ำมีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของผัก ดังนั้นพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการทำสวนผักต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำที่สะอาดปราศจากสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ที่มีพิษปนเปื้อน และต้องมีน้ำเพียงพอสำหรับใช้ตลอดทั้งปีหรือตลอดฤดูกาล การที่มีน้ำให้แก่ผักอย่างสม่ำเสมอตลอดฤดูกาลจะทำให้ผักไม่ชะงักการเจริญเติบโต สมบูรณ์แข็งแรง ต้านทานต่อโรคและแมลง และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี


เมื่อเลือกชนิดของผักที่จะปลูกได้แล้วจึงทำการเลือกพันธุ์ผักที่ต้านทางต่อศัตรูพืชและปลอดเชื้อโรค เลือกพันธุ์ที่มีคุณภาพผลผลิตตามความต้องการของตลาด และเลือกพันธุ์ผักให้เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศและฤดูปลูก


วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559

ขั้นตอนในการปลูกผักออกแกนิกส์



     ปลูกพืชแบบเน้นความเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด และช่วยให้พืชสามารถดูแลและป้องกันศัตรูพืชทุกชนิดได้ด้วยตัวเองมากกว่า และถ้าคุณกำลังสนใจอยากทำสวนออร์แกนิกในบ้าน ก็ลองมาดูขั้นตอนการปลูก
1. เตรียมดิน

       ก่อนจะปลูกพืชเพื่อทำสวนอะไรก็ตาม เราควรต้องทดสอบคุณภาพของดินก่อน เพราะถ้าหากดินอุดมสมบูรณ์ มีธาตุอาหารที่สำคัญต่อพืชอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะปลูกต้นอะไรก็จะงอกงามได้อย่างสวยงาม ซึ่งก่อนอื่นก็ต้องนำตัวอย่างดินไปตรวจสอบธาตุอาหารที่มีอยู่ รวมทั้งค่า pH ของดินที่ด้วย เพื่อที่เราจะได้ทราบความอุดมสมบูรณ์ และปัญหาของดินในแปลงปลูก รวมทั้งรับคำแนะนำการแก้ไขปรับปรุงดินให้พร้อม และถ้าหากทราบผลของดินแล้ว ควรเลือกปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยชีวภาพ เพราะในปุ๋ยชีวภาพจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อดินและพืช อีกทั้งยังปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยต่อสุขภาพของพืชที่จะปลูกด้วยค่ะ
2. ใช้ปุ๋ยหมักดูแลสวน

       ปุ๋ยหมักชีวภาพมีประโยชน์และสำคัญมากกับสวนออร์แกนิก เพราะเป็นตัวส่งเสริมให้สวนออร์แกนิกของเราเจริญเติบโตได้อย่างสวยงาม เนื่องจากมีอัตราส่วนของไนโตรเจน คาร์บอนด์ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่เหมาะสมและปลอดภัย แถมปุ๋ยหมักยังช่วยลดเศษซากพืชที่เน่าเสีย ไม่ให้กลายเป็นขยะสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าปุ๋ยเคมีด้วย นอกจากนี้ปุ๋ยชีวภาพยังช่วยลดวัชพืช และให้สารอาหารแก่ดินได้ค่อนข้างครบถ้วน ซึ่งเราก็สามารถทำปุ๋ยหมักชีวภาพด้วยตัวเองง่าย ๆ ดังนี้
หาภาชนะขนาดความลึกประมาณ 3 ตารางฟุตมาเตรียมไว้
            ใส่ใบไม้แห้งลงไป โรยปุ๋ยคอกทับ
            ใส่เศษอาหาร หรือเศษผัก โรยปุ๋ยคอกทับอีกชั้น ความสูงของกองเศษอาหารไม่ควรเกิน 30 เซนติเมตร
                  โรยใบไม้แห้งลงไปอีก ความสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร จากนั้นจะนำเศษอาหารมาโรยทับบาง ๆ     อีกชั้นก็ได้
            หาอะไรมากดทับเศษอาหารและเศษผักให้อัดแน่นให้ได้มากที่สุด แล้วหมักทิ้งไว้ 30 วัน
                   พอครบกำหนดเวลาแล้วให้ใช้พลั่วค่อย ๆ ตักปุ๋ยชีวภาพด้านล่างเอามาใช้ได้เลย
3. เลือกพืชที่เหมาะสม

           ก่อนจะปลูกพืชในสวนออร์แกนิก เราควรเฟ้นหาพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในสวนออร์แกนิกของเราด้วย เพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างสุขภาพดีและแข็งแรง โดยสิ่งที่ต้องดูโดยรวมก็คือ พืชชนิดนั้นเป็นพืชที่ชอบแดด ชอบน้ำ และความชื้นมากแค่ไหน ซึ่งต้องไม่เกินความสามารถของสวนเราที่จะรองรับพืชเหล่านี้ด้วย อีกทั้งสุขภาพพืชก่อนปลูกก็สำคัญไม่น้อย ถ้าซื้อเป็นต้นกล้าก็ควรจะเลือกต้นกล้าที่รากสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เหลืองหรือมีแมลงเกาะติด ดูแล้วอ่อนแอ แต่ถ้าจะเพาะเมล็ดก็ควรเลือกซื้อเมล็ดที่ยังไม่หมดอายุ และก่อนจะนำไปเพาะก็ควรตรวจสอบคุณภาพเมล็ด ด้วยการนำไปโรยใส่ทิชชูเปียก และนำทิชชูเปียกอีกแผ่นโปะทับอีกที เพื่อดูคุณภาพเมล็ดว่าฝ่อหรือไม่ฝ่อ ถ้าภายใน 3-4 วัน พืชสามารถงอกรากออกมาได้ ก็แสดงว่าเมล็ดมีความสมบูรณ์ดี สามารถนำไปปลูกได้ตามปกติ

 4. ปลูกพืชในกระบะ

          การปลูกพืชในกระบะจะช่วยให้เราสามารถควบคุมดูแลพืชได้สะดวก ทั้งเรื่องสารอาหารในดิน ลดความเสี่ยงในการถูกเหยีบย่ำทำลาย และลดการกระจายของโรคพืชและแมลงได้อีกด้วย ซึ่งการปลูกพืชในกระบะก็ต้องไม่ลืมเว้นระยะห่างของการปลูกพืชให้เหมาะสม ไม่ควรปลูกพืชชิดกันจนเกินไป เพราะพืชจะแย่งน้ำและสารอาหาร รวมทั้งบดบังแสงแดดกันได้ โดยเฉพาะถ้าคุณจะปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง หรือปลูกไม้ดอกยืนต้น ก็ควรเลือกปลูกพืชชนิดเดียวในกระบะ  1 ใบ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลสวนออร์แกนิกเท่าไหร่ แนะนำให้เลือกปลูกมะเขือเทศ เพราะเป็นไม้เถาที่ดูแลง่าย โตไว มีสีสันสดใส และถึงแม้จะร่วงก็สามารถงอกใหม่ได้ไม่ยาก หรือบรรดาพืชตระกูลถั่ว กะหล่ำ และคะน้า ก็เป็นพืชที่ปลูกง่าย และโตไวเช่นกัน

 5. รดน้ำให้เหมาะสม

           เมื่อปลูกพืชแล้ว คราวนี้ก็ถึงขั้นตอนของการดูแล โดยควรจะรดน้ำให้ต้นไม้อย่างเหมาะสมทุกเช้า เพราะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการรดน้ำต้นไม้ เนื่องจากในช่วงเช้าอากาศจะเย็น มีน้ำค้างและความชื้นที่พอดี อีกทั้งลมก็ยังไม่แรง เวลารดน้ำละอองและหยดน้ำที่เรารดลงไปจะไม่กระเด็นออกนอกกระถาง ต้นไม้ก็จะได้รับน้ำอย่างเต็มที่ แต่ถ้าคุณเลือกรดน้ำต้นไม้ในตอนเย็น ความชื้นในดินจะอยู่ตลอดทั้งคืน เสี่ยงที่เชื้อแบคทีเรียและเชื้อราจะเกาะตัวอยู่ที่รากต้นไม้ จนทำให้รากเน่าได้ ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้รดน้ำต้นไม้ด้วยมือจะดีที่สุด และพยายามรดน้ำที่หน้าดินมากกว่ารดไปที่ใบ เพราะอย่าลืมว่ารากต้นไม้อยู่ด้านล่างนะคะ ต้นไม้ไม่สามารถดูดกินน้ำผ่านทางใบได้ และควรจะรดน้ำให้พอชุ่มก็พอ ไม่ต้องรดมากถึงขั้นมีน้ำขังอยู่ในกระถางหรือกระบะปลูกต้นไม้ แต่ต้องหมั่นรดน้ำทุกวัน

 6. กำจัดวัชพืช


        ในเมื่อเราปลูกพืชบนดิน มีสารอาหารและความชื้นที่เหมาะสม ก็ย่อมต้องมีวัชพืชขึ้นมารบกวนสวนออร์แกนิกของคุณอย่างแน่นอน และเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นสวนออร์แกนิก ครั้นจะใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชเหล่านี้คงไม่เหมาะเท่าไร ดังนั้นก็ลงมือถอนวัชพืชด้วยตัวเองเลยดีกว่า ถอนด้วยมือนี่ล่ะค่ะ ฟังดูอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ก็นึกซะว่าเป็นการออกกำลังกาย และหาโอกาสมาสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อยก็ได้ หรือถ้ารวมพลคนในบ้านมาร่วมด้วยช่วยกันก็จะดีมาก จะได้ใช้โอกาสนี้ทำกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ด้วยกัน คนละไม้คนละมือแบบนี้แป๊บเดียววัชพืชก็หายวับราวกับไม่เคยมีแล้วล่ะ

 7. ไล่แมลง

             เมื่อมีวัชพืชก็ต้องมีแมลงที่เป็นศัตรูพืชเช่นกัน ซึ่งวิธีแก้ไขปัญหาแบบถาวร คงต้องมาดูเรื่องสุขภาพของดิน และสภาพแวดล้อมโดยรวมของสวนออร์แกนิก เพราะถ้าพืชอยู่กันอย่างมีความสุขดี บรรดาวัชพืชและศัตรูพืชก็จะไม่ค่อยมาก่อกวนให้เสียหาย ดังนั้นคุณควรนำตัวอย่างดินไปตรวจสอบคุณภาพดิน เพื่อที่จะได้กลับมาฟื้นฟูสุขภาพดินได้อย่างเหมาะสม ส่วนวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก็อาจจะเลือกวิธีธรรมชาติอย่างการปล่อยกบ คางคก จิ้งจก ตุ๊กแก หรือค้างคาว ให้มาป้วนเปี้ยนอยู่ในสวนบ้าง เพื่อให้เขาเหล่านี้คอยจับแมลงและศัตรูพืช โดยเฉพาะแมลงเต่าทองกิน

 8.
เก็บเกี่ยว

           หากสวนออร์แกนิกของคุณมีพืชผักสวนครัว หรือผลไม้เยอะ ก็ต้องหมั่นตรวจสอบระยะเวลาการเก็บเกี่ยวของเขาให้ดี เมื่อมีผลสุกงอมก็ควรเก็บเกี่ยวมารับประทาน อย่าปล่อยให้ร่วงใต้ต้นอย่างเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะบรรดาพริกขี้หนู และกะเพราะ ที่ควรเด็ดเก็บในช่วงสาย ๆ ของวัน ก่อนที่ต้นและใบจะถูกแดดเผาจนเหี่ยว แต่ถ้าเป็นใบโหระพา ควรเก็บในช่วงบ่ายแก่ ๆ เพราะใบจะเขียวสดน่ากินในช่วงนั้น หรือถ้าปลูกผักใบเขียว  หรือผักตระกูลกะหล่ำ เมื่อมีผลโตเต็มที่สมควรแก่การเก็บเกี่ยว ก็ให้ใช้มีดใบคมมาตัดดอกกะหล่ำ โดยควรตัดเหนือฐานของดอกเล็กน้อย แต่ถ้าคุณไม่สามารถกินผักเหล่านี้ได้ทัน จะนำไปแบ่งปันเพื่อนบ้านบ้างก็ได้

 9. โละสวน

              พอหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยว หรือต้นไม้เริ่มหมดอายุ ก็ควรโละสวนออร์แกนิก เพื่อฟื้นฟูสภาพดิน ให้พร้อมสำหรับการปลูกพืชครั้งใหม่ โดยวิธีล้างสวนก็สามารถทำได้ 2 แบบ คือ ถอนต้นพืชออก แล้วนำไปฝังกลบ หรือนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพ อีกวิธีก็คือ ล้มต้นไม้ปกคลุมดินไว้อย่างนั้น เพื่อให้เป็นรังและที่อยู่ของสัตว์ เช่น นก เป็นต้น อีกทั้งการปล่อยพืชคลุมดินแบบนี้ยังสามารถปกป้องหน้าดินไม่ให้ถูกกัดเซาะจากน้ำฝน และป้องกันวัชพืชเติบโตผ่านร่องดิน

          cr. http://home.kapook.com/view69694.html


สาเหตุการการเกิด สารพิษตกค้าง

สาเหตุการเกิด สารพิษตกค้างในพืชผัก



จากผลการสุ่มตัวอย่างผักจากแหล่งปลูกและแหล่งจำหน่ายผักหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยกองวัตถุมีพิษการเกษตร กรมวิชาการเกษตร พบว่ามีปริมาณสารพิษตกค้างอยู่ในผักหลายประเภทหลายชนิด ซึ่งสารพิษที่ตกค้าง ในผักเหล่านั้นบางชนิดมีพิษสูงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคทันทีที่ได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งการเกิดสารพิษตกค้างในผักนั้นมีสาเหตุมาจากหลายประการได้แก่
     เกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ชอบเลือกซื้อเฉพาะผักที่สด สวยงาม ไม่มีร่องรอยการทำลายของโรคและแมลง
     ผู้ปลูกผักบางรายมีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องของสารเคมีเป็นอย่างดีแต่ไม่นำหลักการใช้ที่ถูกต้องไปปฏิบัติหรือละเลยเสีย โดยมุ่งหวังแต่ประโยชน์ผลกำไรและความสะดวกเป็นหลัก โดยขาดจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม
     ผู้ปลูกผักบางรายขาดความรู้ความเข้าใจในการป้องกันกำจัดโรคและแมลงที่ถูกต้อง เมื่อประสบปัญหาการเข้าทำลายของโรค และแมลงทางเลือกแรกที่นำมาใช้คือ การฉีดพ่นสารเคมีโดยไม่ได้คำนึงถึงวิธีการอื่นเลยเนื่องจากสารเคมีมีประสิทธิภาพสูง ให้ผลเร็ว สะดวกในการใช้ และหาซื้อได้ง่าย ดังนั้นเมื่อชาวสวนผักนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายปัญหาที่ตามมาก็คือเกิดสารพิษตกค้างในผักที่เกินค่าความปลอดภัย ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเกษตรกรและผู้บริโภคผัก

     ประชาชนโดยทั่วไปยังมีมาตรฐานในการครองชีพที่ไม่สูงนัก มีพฤติกรรมในการใช้ชีวิตและบริโภคที่ง่ายๆโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในการบริโภคเท่าทีควร ผักปลอดภัยจากสารพิษจึงไม่ได้รับความนิยมมากนัก