ปลูกพืชแบบเน้นความเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด
และช่วยให้พืชสามารถดูแลและป้องกันศัตรูพืชทุกชนิดได้ด้วยตัวเองมากกว่า
และถ้าคุณกำลังสนใจอยากทำสวนออร์แกนิกในบ้าน ก็ลองมาดูขั้นตอนการปลูก
1.
เตรียมดิน
ก่อนจะปลูกพืชเพื่อทำสวนอะไรก็ตาม
เราควรต้องทดสอบคุณภาพของดินก่อน เพราะถ้าหากดินอุดมสมบูรณ์
มีธาตุอาหารที่สำคัญต่อพืชอย่างครบถ้วน
ไม่ว่าจะปลูกต้นอะไรก็จะงอกงามได้อย่างสวยงาม
ซึ่งก่อนอื่นก็ต้องนำตัวอย่างดินไปตรวจสอบธาตุอาหารที่มีอยู่ รวมทั้งค่า pH ของดินที่ด้วย
เพื่อที่เราจะได้ทราบความอุดมสมบูรณ์ และปัญหาของดินในแปลงปลูก
รวมทั้งรับคำแนะนำการแก้ไขปรับปรุงดินให้พร้อม และถ้าหากทราบผลของดินแล้ว
ควรเลือกปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยชีวภาพ
เพราะในปุ๋ยชีวภาพจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อดินและพืช อีกทั้งยังปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
และปลอดภัยต่อสุขภาพของพืชที่จะปลูกด้วยค่ะ
2.
ใช้ปุ๋ยหมักดูแลสวน
ปุ๋ยหมักชีวภาพมีประโยชน์และสำคัญมากกับสวนออร์แกนิก
เพราะเป็นตัวส่งเสริมให้สวนออร์แกนิกของเราเจริญเติบโตได้อย่างสวยงาม
เนื่องจากมีอัตราส่วนของไนโตรเจน คาร์บอนด์ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่เหมาะสมและปลอดภัย
แถมปุ๋ยหมักยังช่วยลดเศษซากพืชที่เน่าเสีย ไม่ให้กลายเป็นขยะสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าปุ๋ยเคมีด้วย นอกจากนี้ปุ๋ยชีวภาพยังช่วยลดวัชพืช
และให้สารอาหารแก่ดินได้ค่อนข้างครบถ้วน
ซึ่งเราก็สามารถทำปุ๋ยหมักชีวภาพด้วยตัวเองง่าย ๆ ดังนี้
หาภาชนะขนาดความลึกประมาณ 3 ตารางฟุตมาเตรียมไว้
ใส่ใบไม้แห้งลงไป โรยปุ๋ยคอกทับ
ใส่เศษอาหาร หรือเศษผัก โรยปุ๋ยคอกทับอีกชั้น
ความสูงของกองเศษอาหารไม่ควรเกิน 30
เซนติเมตร
โรยใบไม้แห้งลงไปอีก ความสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร
จากนั้นจะนำเศษอาหารมาโรยทับบาง ๆ อีกชั้นก็ได้
หาอะไรมากดทับเศษอาหารและเศษผักให้อัดแน่นให้ได้มากที่สุด แล้วหมักทิ้งไว้ 30 วัน
พอครบกำหนดเวลาแล้วให้ใช้พลั่วค่อย ๆ ตักปุ๋ยชีวภาพด้านล่างเอามาใช้ได้เลย
หาอะไรมากดทับเศษอาหารและเศษผักให้อัดแน่นให้ได้มากที่สุด แล้วหมักทิ้งไว้ 30 วัน
พอครบกำหนดเวลาแล้วให้ใช้พลั่วค่อย ๆ ตักปุ๋ยชีวภาพด้านล่างเอามาใช้ได้เลย
3. เลือกพืชที่เหมาะสม
ก่อนจะปลูกพืชในสวนออร์แกนิก
เราควรเฟ้นหาพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในสวนออร์แกนิกของเราด้วย
เพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างสุขภาพดีและแข็งแรง โดยสิ่งที่ต้องดูโดยรวมก็คือ
พืชชนิดนั้นเป็นพืชที่ชอบแดด ชอบน้ำ และความชื้นมากแค่ไหน ซึ่งต้องไม่เกินความสามารถของสวนเราที่จะรองรับพืชเหล่านี้ด้วย
อีกทั้งสุขภาพพืชก่อนปลูกก็สำคัญไม่น้อย
ถ้าซื้อเป็นต้นกล้าก็ควรจะเลือกต้นกล้าที่รากสมบูรณ์แข็งแรง
ไม่เหลืองหรือมีแมลงเกาะติด ดูแล้วอ่อนแอ
แต่ถ้าจะเพาะเมล็ดก็ควรเลือกซื้อเมล็ดที่ยังไม่หมดอายุ และก่อนจะนำไปเพาะก็ควรตรวจสอบคุณภาพเมล็ด
ด้วยการนำไปโรยใส่ทิชชูเปียก และนำทิชชูเปียกอีกแผ่นโปะทับอีกที
เพื่อดูคุณภาพเมล็ดว่าฝ่อหรือไม่ฝ่อ ถ้าภายใน 3-4
วัน พืชสามารถงอกรากออกมาได้
ก็แสดงว่าเมล็ดมีความสมบูรณ์ดี สามารถนำไปปลูกได้ตามปกติ
4.
ปลูกพืชในกระบะ
การปลูกพืชในกระบะจะช่วยให้เราสามารถควบคุมดูแลพืชได้สะดวก
ทั้งเรื่องสารอาหารในดิน ลดความเสี่ยงในการถูกเหยีบย่ำทำลาย
และลดการกระจายของโรคพืชและแมลงได้อีกด้วย
ซึ่งการปลูกพืชในกระบะก็ต้องไม่ลืมเว้นระยะห่างของการปลูกพืชให้เหมาะสม
ไม่ควรปลูกพืชชิดกันจนเกินไป เพราะพืชจะแย่งน้ำและสารอาหาร
รวมทั้งบดบังแสงแดดกันได้ โดยเฉพาะถ้าคุณจะปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง
หรือปลูกไม้ดอกยืนต้น ก็ควรเลือกปลูกพืชชนิดเดียวในกระบะ 1 ใบ
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลสวนออร์แกนิกเท่าไหร่
แนะนำให้เลือกปลูกมะเขือเทศ เพราะเป็นไม้เถาที่ดูแลง่าย โตไว มีสีสันสดใส
และถึงแม้จะร่วงก็สามารถงอกใหม่ได้ไม่ยาก หรือบรรดาพืชตระกูลถั่ว กะหล่ำ และคะน้า
ก็เป็นพืชที่ปลูกง่าย และโตไวเช่นกัน
เมื่อปลูกพืชแล้ว
คราวนี้ก็ถึงขั้นตอนของการดูแล โดยควรจะรดน้ำให้ต้นไม้อย่างเหมาะสมทุกเช้า
เพราะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการรดน้ำต้นไม้ เนื่องจากในช่วงเช้าอากาศจะเย็น
มีน้ำค้างและความชื้นที่พอดี อีกทั้งลมก็ยังไม่แรง
เวลารดน้ำละอองและหยดน้ำที่เรารดลงไปจะไม่กระเด็นออกนอกกระถาง
ต้นไม้ก็จะได้รับน้ำอย่างเต็มที่ แต่ถ้าคุณเลือกรดน้ำต้นไม้ในตอนเย็น
ความชื้นในดินจะอยู่ตลอดทั้งคืน
เสี่ยงที่เชื้อแบคทีเรียและเชื้อราจะเกาะตัวอยู่ที่รากต้นไม้ จนทำให้รากเน่าได้
ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้รดน้ำต้นไม้ด้วยมือจะดีที่สุด
และพยายามรดน้ำที่หน้าดินมากกว่ารดไปที่ใบ เพราะอย่าลืมว่ารากต้นไม้อยู่ด้านล่างนะคะ
ต้นไม้ไม่สามารถดูดกินน้ำผ่านทางใบได้ และควรจะรดน้ำให้พอชุ่มก็พอ
ไม่ต้องรดมากถึงขั้นมีน้ำขังอยู่ในกระถางหรือกระบะปลูกต้นไม้
แต่ต้องหมั่นรดน้ำทุกวัน
ในเมื่อเราปลูกพืชบนดิน มีสารอาหารและความชื้นที่เหมาะสม
ก็ย่อมต้องมีวัชพืชขึ้นมารบกวนสวนออร์แกนิกของคุณอย่างแน่นอน
และเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นสวนออร์แกนิก
ครั้นจะใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชเหล่านี้คงไม่เหมาะเท่าไร
ดังนั้นก็ลงมือถอนวัชพืชด้วยตัวเองเลยดีกว่า ถอนด้วยมือนี่ล่ะค่ะ
ฟังดูอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ก็นึกซะว่าเป็นการออกกำลังกาย และหาโอกาสมาสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อยก็ได้
หรือถ้ารวมพลคนในบ้านมาร่วมด้วยช่วยกันก็จะดีมาก
จะได้ใช้โอกาสนี้ทำกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ด้วยกัน
คนละไม้คนละมือแบบนี้แป๊บเดียววัชพืชก็หายวับราวกับไม่เคยมีแล้วล่ะ
เมื่อมีวัชพืชก็ต้องมีแมลงที่เป็นศัตรูพืชเช่นกัน
ซึ่งวิธีแก้ไขปัญหาแบบถาวร คงต้องมาดูเรื่องสุขภาพของดิน
และสภาพแวดล้อมโดยรวมของสวนออร์แกนิก เพราะถ้าพืชอยู่กันอย่างมีความสุขดี
บรรดาวัชพืชและศัตรูพืชก็จะไม่ค่อยมาก่อกวนให้เสียหาย
ดังนั้นคุณควรนำตัวอย่างดินไปตรวจสอบคุณภาพดิน เพื่อที่จะได้กลับมาฟื้นฟูสุขภาพดินได้อย่างเหมาะสม
ส่วนวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก็อาจจะเลือกวิธีธรรมชาติอย่างการปล่อยกบ คางคก จิ้งจก
ตุ๊กแก หรือค้างคาว ให้มาป้วนเปี้ยนอยู่ในสวนบ้าง
เพื่อให้เขาเหล่านี้คอยจับแมลงและศัตรูพืช โดยเฉพาะแมลงเต่าทองกิน
หากสวนออร์แกนิกของคุณมีพืชผักสวนครัว
หรือผลไม้เยอะ ก็ต้องหมั่นตรวจสอบระยะเวลาการเก็บเกี่ยวของเขาให้ดี
เมื่อมีผลสุกงอมก็ควรเก็บเกี่ยวมารับประทาน
อย่าปล่อยให้ร่วงใต้ต้นอย่างเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะบรรดาพริกขี้หนู และกะเพราะ
ที่ควรเด็ดเก็บในช่วงสาย ๆ ของวัน ก่อนที่ต้นและใบจะถูกแดดเผาจนเหี่ยว
แต่ถ้าเป็นใบโหระพา ควรเก็บในช่วงบ่ายแก่ ๆ เพราะใบจะเขียวสดน่ากินในช่วงนั้น
หรือถ้าปลูกผักใบเขียว หรือผักตระกูลกะหล่ำ
เมื่อมีผลโตเต็มที่สมควรแก่การเก็บเกี่ยว ก็ให้ใช้มีดใบคมมาตัดดอกกะหล่ำ
โดยควรตัดเหนือฐานของดอกเล็กน้อย แต่ถ้าคุณไม่สามารถกินผักเหล่านี้ได้ทัน
จะนำไปแบ่งปันเพื่อนบ้านบ้างก็ได้
พอหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยว
หรือต้นไม้เริ่มหมดอายุ ก็ควรโละสวนออร์แกนิก เพื่อฟื้นฟูสภาพดิน
ให้พร้อมสำหรับการปลูกพืชครั้งใหม่ โดยวิธีล้างสวนก็สามารถทำได้ 2 แบบ คือ ถอนต้นพืชออก
แล้วนำไปฝังกลบ หรือนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพ อีกวิธีก็คือ
ล้มต้นไม้ปกคลุมดินไว้อย่างนั้น เพื่อให้เป็นรังและที่อยู่ของสัตว์ เช่น นก
เป็นต้น
อีกทั้งการปล่อยพืชคลุมดินแบบนี้ยังสามารถปกป้องหน้าดินไม่ให้ถูกกัดเซาะจากน้ำฝน
และป้องกันวัชพืชเติบโตผ่านร่องดิน
cr. http://home.kapook.com/view69694.html










ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น